BYD SEAL 5 ชาร์จไฟได้ เติมน้ำมันได้
ขับสบาย ช่วงล่างดี น้องใหม่ หนึ่งเดียว
ในแบบซีดาน b-segment Plug in Hybrid
ทดลองขับโดย กันต์ เย็นสบาย
นี่คือรถโมเดลล่าสุดของ BYD กับการทำตลาดในประเทศไทยครับกับ BYD Seal 5 รถซีดาน ในกลุ่ม B segment ที่ผลิตในประเทศไทย ที่โรงงานจังหวัดระยอง เป็นลำดับที่ 3 ถัดจาก BYD Atto 3 และ BYD Dolphin
ความน่าสนใจของรถคันนี้เรื่องแรกคือแม้จะใช้ชื่อ SEAL เหมือนกับ B YD SEAL รุ่นพี่ แต่ก็มีความแตกต่างจาก BYD Seal ที่เป็น สปอร์ตซีดานพรีเมียมไฟฟ้า 100% จากการเลือกใช้ขุมพลังในรูปแบบ plug-in Hybrid ที่ต้องถือว่าเป็นทางเลือกเดียวของรถใน segment นี้ ที่มีรูปแบบทางเลือกขุมพลัง ในรูปแบบนี้
BYD เองเป็นแบรนด์รถยนต์ที่ทำตลาดรถยนต์ในบ้านเราในกลุ่มพลังงานทางเลือกทั้งไฟฟ้าล้วนและ Plug in Hybrid ทางเลือกของรถในกลุ่ม เครือแบรนด์ของ BYD จึงมีทั้งรถยนต์ในรูปแบบของรถไฟฟ้าอย่างในตัว BYD Dolphin และ BYD Seal รวมไปถึงในกลุ่ม plug-in Hybrid แบบเดียวกันก็มีในตัวของ BYD Sealion 6 DM-i รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รุ่นแรกของ BYD ในประเทศไทย ที่เป็นในรูปแบบของ SUV ครับ ซึ่งจะแตกต่างจากในตัวของ BYD Seal 5 คันนี้ ที่เป็นในรูปแบบของปลั๊กอิน Hybrid และเป็น รถในแบบของรถเก๋งซีดาน
รูปลักษณ์ในแบบซีดานขนาดกลาง ดีไซน์ท้ายลาดเพิ่มความโฉบเฉี่ยว
BYD Seal 5 DM-i SUPER HYBRID จัดอยู่ในรถยนต์กลุ่มซีดานขนาดกลาง มาพร้อมขุมพลังเทคโนโลยี DM-i Super Hybrid แบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) เป็นครั้งแรกของไทย ทั้งยังมี BYD Blade Battery เอกสิทธิ์ของ BYD สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลสุด 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) ภายนอกโฉบเฉี่ยวกับงานออกแบบภายใต้แนวคิด Ocean AESTHETICS ภายในกว้างขวางด้วยระยะฐานล้อ ยาวสุด เมื่อเทียบกับรถยนต์ระดับเดียวกัน ครบครันด้วยอุปกรณ์อํานวยความสะดวก รวมถึงอุปกรณ์ความ ปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ
ภายนอกออกแบบภายใต้แนวคิด OCEAN AESTHETICS ให้อารมณ์สปอร์ต ผสานกับเส้นสายตัวถัง ด้านข้างที่เฉียบคม สะท้อนความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ดีไซนเส้นสายรอบคันรถ ที่ดูเรียบง่าย แต่แอบดูดีด้วยดีไซน์ท้ายลาด แบบที่เรียกว่า Fast Back มิติตัวถัง: ยาว x กว้าง x สูง: 4,780 x 1,837 x 1,495 มิลลิเมตร / ระยะฐานล้อ 2,718 มิลลิเมตร
กระจังหน้าไร้กรอบแบบ DOT MATRIX มาพร้อมไฟหน้า Full LED แบบ STARLIGHT ไฟท้าย Full LED รมดำ รูปทรงเรขาคณิตแบบ DOT MATRIX พร้อม LED Light Bar และไฟเลี้ยวทางด้านหลังแบบSequential และ ล้อขนาด 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R17
ห้องโดยสารเน้นกว้างขวาง ด้วยระยะฐานล้อยาวที่สุดในรถยนต์ Segment เดียวกัน
- BYD Intelligent Cockpit มาพร้อม Smart Control บริเวณคอนโซลกลาง ที่รวมการควบคุมไว้ในที่ เดียว ช่วยให้การเข้าถึงเป็นไปได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว และหน้าจอเรือนไมล์ ขนาด 8.8 นิ้ว เพลิดเพลินตลอด การเดินทางด้วยหน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดีย แบบลอยตัว ขนาด 12.8 นิ้ว ที่มีขนาดใหญ่สุด เมื่อเทียบ กับรถยนต์ระดับเดียวกัน ซึ่งมาพร้อมเครื่องเสียง ลําโพง 8 ตําแหน่งจากโรงงาน
- เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับ ไฟฟ้า 4 ทิศทาง เบาะด้านหลังมีพนักพิงศีรษะ ปรับระดับแยกกันได้ทั้ง 3 ตําแหน่ง และมีที่พักแขนตรง กลางพร้อมที่วางแก้ว 2 ตําแหน่ง
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มาพร้อมระบบกรองฝุ่น PM2.5 และช่องปรับอากาศตรงกลางด้านหลัง
- อุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ อาทิ ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ระบบสั่งงานด้วยเสียง ภาษาไทย / ภาษาอังกฤษ ระบบกุญแจแบบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ NFC (NFC Card) BYD Digital Key และรองรับ การอัพเดตซอฟต์แวร์ผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต (OTA) มาพร้อมพื้นที่บรรทุกสัมภาระท้ายรถขนาด 450 ลิตร ใส่กระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว ได้ 6 ใบ จัดเก็บสัมภาระได้มากขึ้นด้วยฟังก์ชันการพับเบาะด้านหลังแบบ 60/40 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่หลากหลายของคนรุ่นใหม่
ขุมพลังแบบ Plug in Hybrid dmi Super Hybrid เติมน้ำมัน เสียบปลั๊ก ชาร์จไฟ วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนทำได้หมด !
- ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) แบบ DM-i SUPER HYBRID หรือ Dual Mode-intelligent ที่เน้นการ ขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ในทุกช่วงความเร็ว ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ประหยัด ควบคู่ไปกับอัตราเร่งที่ตอบสนองทันใจและทรงพลัง (อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.5 วินาที)
- ด้วยระบบการทํางาน EHS (Electric Hybrid System) เป็นการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างชุด ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์คู่และมอเตอร์คู่ สู่ระบบขับเคลื่อนที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด ให้กําลังสูงสุดชุด มอเตอร์ไฟฟ้าหน้า 145 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ซึ่งมีการจัดการพลังงานและ ความร้อนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างอัตราเร่งที่ทรงพลัง และยังคงทนทุกสภาพการใช้งาน
- หัวใจสําคัญอีกอย่างคือเครื่องยนต์เบนซิน Xiaoyun 1.5L Atkinson Cycle
กําลังสูงสุด 72 กิโลวัตต์ และแรงบิดสูงสุด 122 นิวตัน-เมตร อัตราส่วนกําลังอัด 15.5:1 และระบบ ระบายความร้อนแบบแยกส่วน อัตรา สิ้นเปลืองเพียง 3.8 ลิตร/100 กิโลเมตร แม้ขณะที่แบตเตอรี่ตํ่า (SOC ตํ่า) และยังรองรับนํ้ามัน E20, Gasohol 91 และ 95 เพิ่มความยืดหยุ่นในการเดินทาง
- BYD Blade Battery ขนาด 18.3 กิโลวัตต์ - ชั่วโมง เทคโนโลยีแบตเตอรี่เอกสิทธิ์เฉพาะของ BYD ที่มี ชื่อเสียงด้านความปลอดภัยขั้นสูงสุด การันตีด้วยการผ่านการทดสอบความปลอดภัย จากการออกแบบโครงสร้างแบบรังผึ้ง (Honeycomb Structure) ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งเชิงโครงสร้าง ทั้งยังมาพร้อมระบบการจัดการพลังงานและความร้อน ประสิทธิภาพสูง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น ส่งผลให้สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนได้เป็น ระยะทางสูงสุด 120 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) หรือขับขี่ระยะทางรวมสูงสุดมากกว่า 1,000 กิโลเมตร*
- รองรับการชาร์จแบบ AC Type 2 กําลังสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ และยังมีรองรับระบบ VtoL สําหรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้เครื่องใช้ไฟฟ้าได้อีกด้วย
จัดเต็มอุปกรณ์ความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving Technology)
ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driving Technology)
- ระบบช่วยควบคุมความเร็วโดยอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
- ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันอัจฉริยะ (ICC)
- ระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (FCW)
- ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (RCW)
- ระบบช่วยเตือน เมื่อมีรถผ่านจุดอับสายตา ขณะถอยหลัง (RCTA)
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
- ระบบช่วยควบคุมรถ ไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (LDP)
- ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (BSD)
- กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา พร้อมเซนเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุด้านหน้า 2 จุด และ เซนเซอร์ช่วย ตรวจจับวัตถุด้านหลัง 4 จุด
อุปกรณ์ความปลอดภัย (Passive Safety)
- ถุงลมนิรภัย 6 จุด ประกอบด้วย ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และ ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง
- โครงสร้างตัวถังแบบ Roll Cage Body เพิ่มความแข็งแกร่งในโครงสร้างรอบคัน และทำให้การขับขี่มีความมั่นคงมากขึ้น
- โครงสร้างประตูมีคานขวางในตัว และหล่อโครงประตูเป็นชิ้นเดียวกัน ช่วยซับแรงกระแทกจากการถูกชน ด้านข้าง หรือพลิกควํ่า
คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย
ได้ลองขับขี่ BYD Seal 5 น้องใหม่ หนึ่งเดียว ในแบบซีดาน b-segment Plug in Hybrid คันนี้ แบบ One Day Trip จาก byd Academy ย่าน ถ.ศรีนครินทร์ ไปอัมพวา นครปฐม และวนกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อลองในเรื่องของการขับขี่
ขอบอกว่า ส่วนตัวชอบ เพราะ BYD Seal 5 จัดเป็นรถเก๋งซีดานคันค่อนข้างใหญ่ที่ขับได้คล่องตัวครับ คุมง่าย ไม่ซับซ้อน รวมไปถึงช่วงล่างที่ รองรับการขับขี่ได้มั่นใจ และให้ความนุ่มนวลเป็นจุดเด่นครับ
อัตราเร่ง ตอบสนองทันใจ รู้สึกได้ถึงกำลัง ของ ตัวรถ และความสามารถ เดินทางในโหมด EV ล้วน เหมือนรถไฟฟ้า ซึ่งจากระยะทางไป กลับ ประมาณ 240 กิโลเมตร ตลอดทริปนี้ อัตราการกินน้ำมันเฉลี่ย ที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ 27 กิโลเมตรต่อลิตร และทำได้ แบบไม่ต้องขับ เน้นประหยัดมากครับ กับการเป็นรถโมเดลล่าสุดของ BYD ที่วางการตลาดในประเทศไทยไว้ ในกลุ่ม B segment โดยรวมถือว่าทำได้ดี ทั้งเส้นสายรอบคันรถ ดูเรียบง่าย แต่แอบดูดีด้วยดีไซน์แบบ เก๋งซีดานท้ายลาด Fastback
ห้องโดยสารกว้าง โปร่ง สบาย ตำแหน่ง พวงมาลัย เกียร์แบบหมุน และ2 จอ ภายในรถแบบลอยตัว ทั้ง หน้าจอเรือนไมล์ขนาด 8.8 นิ้วและหน้าจอ สัมผัสควบคุมระบบมัลติมีเดีย ขนาด 12.8 นิ้ว จัดวางลงตัว เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ทรง สปอร์ตแต่นั่งได้นุ่มสบาย
ส่วนเบาะด้านหลังก็เน้นพื้นที่กว้างขวาง ทั้ง Head room และ leg room รวมไปถึง การดีไซน์ พนักพิง ศีรษะที่มีทั้ง 3 ตำแหน่ง มีที่พักแขนกลาง พร้อมที่วางแก้ว และ มีช่องแอร์หลัง รวมทั้งพื้นที่สัมภาระด้านหลังที่กว้าง ใช้ได้เลย ระบบความปลอดภัยจัดเต็มรวมทั้งซุปเปอร์เซฟตี้ และกล้อง 360 องศารอบรถ 5 จุด
ในเรื่องของขุมพลัง น่าสนใจจะเติมน้ำมัน เสียบปลั๊ก ชาร์จไฟก็ได้ หมดครับ และที่สำคัญ คือการวิ่ง ด้วย ไฟฟ้าล้วน จาก ขุมพลังแบบ Plug in Hybrid ส่วนแบตเตอรี่ 18.3 กิโลวัตต์ ติดตั้งใต้ท้องรถ ก็ขึ้นชื่อในเรื่องของความปลอดภัย ความแข็งแรง
ตามสเปค เดินทางด้วยโหมดไฟฟ้าหรือว่า EV ล้วนได้ระยะทาง 120 กิโลเมตรตามมาตรฐาน nedc ส่วนระยะทางรวมถ้าวิ่งทั้งน้ำมันและไฟฟ้าจะอยู่ที่ 1,000 กิโลเมตร ซึ่งในเรื่องของการชาร์จไฟ รองรับการชาร์จแบบ Ac type 2 กำลังสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ สอบถามข้อมูลจากทีม BYD แจ้งว่าจะ ใช้เวลาชาร์จประมาณ 3 ชั่วโมง ในการชาร์จเต็มครับส่วนแบต 12 โวลท์ lfp ที่ติดตั้งมาให้ในรถ ก็เป็นของทาง BYD เองที่เพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าด้วยการ รับประกัน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร.
ทาง BYD เค้าเปิดตัว seal 5 ผ่าน 2 รุ่นย่อยครับในรุ่นเริ่มต้น Standard และตัวท็อป ในรุ่น Premium ซึ่งการเปิดตัว BYD SEAL 5 ก็นับว่าน่าตื่นเต้น เพราะถือเป็นครั้งแรก ที่คนใช้รถจะได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีในรถแบบ Plug in Hybrid ในราคาที่แพงไม่เวอร์วัง รวมทั้งยังเป็นครั้งแรก ในกลุ่มรถยนต์ B-segment ในไทยครับ ที่มีทางเลือก ในแบบ Plug in Hybrid ครับ