ลองขับ Honda Civic e:HEV RS 2025

โมหน้าใหม่ หัวใจเดิม ประหยัดน้ำมันแต่ Fun to Drive!

 

แม้ว่าทุกวันนี้ รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถ EV ยังคงข้อจำกัดบางประการที่ทำให้ไม่เหมาะสมกับการใช้งานของทุกคนเสมอไปครับ ขณะที่รถไฮบริดก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่มองหาความประหยัดเป็นสำคัญ และหลังจากการเปิดตัวได้ไม่นานนัก Civic รุ่นใหม่ก็ถูกปรับโฉมเพิ่มความสดอีกครั้งโดยปรับจาก 4 รุ่นย่อยเดิม เหลือ 3 รุ่นย่อยและนี่คือบททดสอบ Civic RS e:HEV รุ่นท็อปสุด กับ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พลังงานผสมแบบไฮบริด ที่จะชี้ให้เห็นว่าทำไมรถไฮบริดคันนี้  ยังคงเป็นอีกทางเลือกที่คุ้มค่าน่าใช้ครับ…

 

ดีไซน์ในแบบ Facelift  

สำหรับขนาดตัวถังของ Honda Civic 2025 เจเนอเรชั่น 11 จะมีความยาว 4,681 มม. กว้าง 1,802 มม. สูง 1,415 มม. ความยาวฐานล้อ 2,734 มม. ดีไซน์ภายนอกช่วยให้ตัวรถมีเส้นสายที่สวยงามและเฉียบคม ในรูปแบบของ รถยนต์ตัวถัง 4 ประตู ซีดานขนาดคอมแพ็ค 5 ที่นั่ง โดยรุ่นปรับโฉมใหม่โมเดล Facelift 2024 มีการปรับเปลี่ยนชุด กันชนหน้า  กระจังหน้าใหม่ (รังผึ้ง) ตกแต่งสีดำ ให้อารมณ์สปอร์ตขึ้น แปะตราสัญลักษณ์ RS เพื่อบ่งบอกตัวตนถึงความเป็น Civic รุ่นสูงสุด และตัวอักษร H โทนสีน้ำเงินบ่งบอกตัวตนถึงรุ่น e:HEV

ไฟหน้าเป็นโคมโปรเจกเตอร์หลอดฮาโลเจน มีไฟวิ่งกลางวันและไฟท้ายแบบ LED รวมถึงระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ รวมถึงเพิ่มคิ้วตกแต่งไฟหน้าสีเดียวกับตัวรถ กระจกมองข้าง มือจับประตูด้านนอกสีดำตกแต่งด้วยโครเมียม เสาท้ายที่ค่อนข้างลาดเอนมีองศาที่ใกล้เคียงกับเสาท้ายของรถรุ่นพี่อย่าง Accord เสาอากาศครีบฉลาม สปอยเลอร์หลัง ตกแต่งด้วยสีดำเงา พร้อมสัญลักษณ์ RS ด้านท้าย ท่อไอเสีย พร้อมปลอก โคมไฟท้ายสีรมดำ และเปลี่ยนล้ออัลลอยใหม่  เป็นขนาด 18 นิ้ว ลาย 7 ก้าน สีดำ

Honda Civic 2025 มีตัวถังรวมทั้งหมด 6 สีครับ ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ทั้ง สีเทา Meteoroid Grey Metallic อย่างในคันที่ผมนำมาทดสอบ สีแดง Ignite Red Metallic (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) สีน้ำเงิน Canyon River Blue Metallic (เฉพาะรุ่น e:HEV EL+ และ EL+) สีขาว Platinum White Pearl และสีดำ Crystal Black Pearl  และสีเงิน Lunar Silver Metallic

 

 

ภายในสปอร์ต เบาะหลัง แยกพับ อัปเดตเฟีเจอร์ไฮไลต์ Google Built-in

ในรุ่น e:HEV RS ที่เป็นเวอร์ชั่นสปอร์ต สำหรับภายในได้อะไรใหม่เพิ่มขึ้น คือ เบาะที่นั่งลายใหม่ Prime smooth ด้วยวัสดุเบาะหนังกลับและหนังสังเคราะห์สีดำตกแต่งด้วยด้ายสีแดง อีกทั้งตกแต่งแผงคอนโซลหน้าและแผงประตูด้านข้างสีแดงสไตล์สปอร์ต ถือว่าเพิ่มความร้อนแรงของความเป็นตัวท็อปได้ดีเลยทีเดียว

ตัวเบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง ปรับระดับได้ 4 ทิศทาง (ปรับสูง-ต่ำ ใกล้-ไกล) และยังมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ติดมาให้ใช้งานเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนรูปแบบของตัวแป้น Paddle Shift ใหม่ ก้านวงด้านขวา ใช้ปรับตั้งระบบปรับความเร็วอัตโนมัติ Honda Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow

 

ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ พร้อมกุญแจในแบบ Honda Smart Key Card  มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว ช่องเชื่อมต่อ USB Type C จำนวน 4 ช่อง ช่องหน้า 2 ช่องและด้านหลัง 2 ช่อง อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ไฟส่องสว่างตกแต่งแผงประตูคู่หน้าและที่เท้า  แป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต

ส่วนอุปกรณ์มาตรฐาน มีแอร์อัตโนมัติ สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้อิสระ นอกจากนี้ยังได้ฟังก์ชันใหม่ ๆ เช่นเดียวกับรุ่นอื่น ๆ คือ แผงบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกแต่งหน้าแบบมีไฟส่องสว่าง เบาะนั่งด้านหลังแยกพับแบบ 60:40 ได้ รวมทั้ง Google built-in แอพและบริการของ Google ที่ติดตั้งมาในตัวสามารถใช้เป็นผู้ช่วยผู้ขับขี่ด้วยคำสั่งเสียง ใช้งาน Google Map เพื่อนำทาง หรือค้นหาสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการดาวน์โหลดแอพพลิเคชันจาก Google Play มาติดตั้งเพิ่มได้ และยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย และมี Honda Connect เป็นฟีเจอร์มาตรฐาน และมาพร้อมระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE ทั้งหมด 12 ตำแหน่ง เฉพาะในรุ่น RS นี้เท่านั้นครับ

 

 

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ฟูลไฮบริด e:HEV พร้อม Individual Mode

ใน3 รุ่นย่อย ของ Honda Civic 2025 จะมีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก 2 แบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย ครับ คือ ในรุ่น EL+  เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 1,700-4,500 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 17.2 กิโลเมตร/ลิตร

ส่วนในรุ่น Honda Civic  e:HEV EL+ และ e:HEV RS (ไฮบริด)  อย่างในคันที่นำมาทดสอบจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ทำงานประสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0-2,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) และเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยตามเคลมที่ 25 กิโลเมตร/ลิตร (ECO Sticker)

 

ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) 40 ลิตร รองรับประเภทน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้ง เบนซิน 95, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), แก๊สโซฮอล์ 91, เบนซิน E20, ไฮบริด

โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ ประกอบด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่ มอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด  และ โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์

แถมด้วยระบบติดตั้งสวิตซ์ฟังก์ชัน Drive Mode ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามสไตล์ 4 โหมด ได้แก่ ECON Mode โหมดการขับขี่แบบประหยัด Normal Mode โหมดการขับขี่แบบปกติ สำหรับการขับขี่ใช้งานโดยทั่วไป Sport Mode โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต

และปิดท้ายที่ฟังก์ชัน Drive Mode ใหม่ กับ  Individual Mode โหมดการขับขี่แบบ Individual (ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS) ที่สามารถปรับตั้งค่าการขับขี่เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะและความต้องการและไลฟ์สไตล์ โดยสามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบส่งกำลัง พวงมาลัย และเสียงเครื่องยนต์  และพิเศษสำหรับรุ่น e:HEV RS ยังสามารถเลือกรูปแบบสีของมาตรวัดได้อย่างอิสระ

 ระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน คือเซนเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และหลัง 4 จุด ในรุ่น e:HEV EL+ และ e:HEV RS ส่วนในทุกรุ่นย่อยของจะติดตั้งชุดระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย ระบบเตือนการชนพร้อมช่วยเบรก, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบควบคุมความเร็วแปรผัน และขับตามคันหน้าที่ความเร็วต่ำ และระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าออกตัว

ขณะที่ระบบความปลอดภัยอื่น ๆ มีถุงลมนิรภัย 6 จุด, เบรก ABS, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง, กล้องมองหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ, จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ส่วน Honda LaneWatch และเซ็นเซอร์กะระยะหน้า-หลัง รวม 8 จุด แต่ของควรมี แต่ที่ไม่มีใน Honda Civic 2024 นี้ คือระบบกล้อง 360 องศา และระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Monitor  (BSM)  

 

คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย

สำหรับผมความน่าสนใจของ New Honda Civic e:HEV RS 2025 คันนี้ อยู่ที่ความประหยัดและความคุ้มค่า ใน 5 เรื่องครับ เรื่องที่ 1 คือการ อัพดีไซน์สปอร์ตขึ้น ในแบบ Facelift ของ HONDA CIVIC เจเนอเรชั่น 11 ในรูปแบบของ รถยนต์ตัวถัง 4 ประตู ซีดานขนาดคอมแพ็ค  สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดทุกรุ่นก็คือการโมหน้าใหม่ รายละเอียดการปรับเปลี่ยนแต่ละรุ่นอาจต่างกันนิดหน่อยโดยเฉพาะในรุ่น e:HEV RS ที่เรียกว่าความหล่อจัดเต็มเสร็จสรรพจากโรงงาน และแอบมีกลิ่นอายคล้าย Civic Type R FL5 นิดหน่อย

เรื่องที่ 2  การอัพเดตอุปกรณ์และเพิ่มฟีเจอร์ที่เป็นไฮไลต์อย่าง Google Built-in ในหน้าจอกลาง  การปรับการทำงานของระบบ Honda SENSING ให้มีความแม่นยำมากขึ้น มีการปรับปรุงให้ทำงานละเอียดมากขึ้น จับวัตถุได้ไวขึ้น หน้าจอกลางมีการเปลี่ยนระบบสัมผัส Touchscreen จาก 7 เป็น 9 นิ้ว และกราฟฟิคแบบใหม่

ส่วนหน้าจอ TFT ขนาด 10.2 นิ้ว นั้นก็ค่อนข้างละเอียด บอกสถานะต่าง ๆ อย่างชัดเจน รวมทั้งช่องชาร์จและช่องเชื่อมต่อเปลี่ยนเป็น USB-C 4 ตำแหน่ง มีการเพิ่มไฟส่องสว่างบริเวณม่านบังแดดคู่หน้า เพิ่มช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง และเพิ่มฟังก์ชั่นพับเบาะนั่งด้านหลัง 60:40 และระบบเครื่องเสียงพร้อมลำโพง BOSE 12 ตำแหน่ง นี่คือสิ่งที่ได้รับการปรับ มาได้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น

เรื่องที่ 3 หัวใจยังคงเดิม แรง แต่ ประหยัดเอาเรื่อง... ผมลองขับสั้น ๆ จากกรุงเทพฯ ไป - กลับเที่ยว อ่างศิลา บางแสน จ.ชลบุรี  ด้วยระยะทางประมาณ 230 กิโลเมตร สิ่งที่ชอบมากที่สุด คือ อัตราการตอบสนองของเครื่อง e:HEV จะขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เหมือนรถ EV แต่พอเดินทางไกลด้วยความเร็วคงที่ ด้วยความเร็วสูง เครื่องยนต์จะต่อเข้าชุดเพลาขับโดยตรง มาขับเคลื่อนล้อแทน แม้เครื่องไม่มีเทอร์โบ แต่การตอบสนองช่วงเร่งแซงความเร็วสูง ๆ ก็ทำได้ดี รวมถึงความเงียบจากการทำงาน ของเครื่องยนต์ ลองใช้ความเร็วได้ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นหลัก อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันทำได้จากการทดสอบจริงที่ทำได้อยู่ที่ประมาณ 23 กิโลเมตรต่อลิตร ครับ

เรื่องที่ 4 ช่วงล่างดีและมีโหมดการขับขี่ Individual ที่สามารถแต่งโหมดตามใจคนขับ การจูนช่วงล่างและพวงมาลัย ช่วยทำให้รถขับได้อย่างโดดเด่น โดยรุ่น e:HEV RS มีโหมดการขับขี่ Individual ที่สามารถแต่งโหมดตามใจคนขับ มีการสังเคราะห์เสียงเครื่องยนต์ผ่านลำโพงแบบที่เราเคยได้ยินตอนขับรถสปอร์ต มี Paddle Shift เซ็ทค่าความหน่วงของตัวมอเตอร์เสมือนเป็นการปรับระดับ Engine Break  ส่วนระบบรองรับของ ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท สปริง โช้คอัพและเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์  ที่ช่วงล่างชุดใหม่ ก็เน้นความนุ่มนวล  ถือเป็นรถซีดาน ที่ขับได้สนุก เกาะถนน และรู้สึกปลอดภัย

เรื่องที่ 5 ราคาค่าตัวที่ปรับมาถูกลงกว่าเดิม (Honda Civic e:HEV RS 2025 เปิดตัวราคา 1,239,000 บาท จากเดิมราคา 1,259,000 บาท) แต่มีการเพิ่มเติมออพชั่นให้ทันยุคทันสมัย มากขึ้น ส่วนตัวผมมีเพื่อน ๆ มาสอบถามเปรียบเทียบระหว่าง Honda Civic e-HEV RS แต่ไม่ได้เปรียบเทียบกับคู่แข่งแบรนด์อื่นนะครับ แต่จะเปรียบเทียบกันกับ Honda HR-V e-HEV RS (ราคา 1,179,000 บาท)โฉมล่าสุด ซึ่งทั้งสองรุ่นต่างเป็นยอดนิยมที่ทำยอดขายให้กับฮอนด้า แม้ทั้งสองรุ่นนี้จะมีสไตล์ที่ต่างกัน

ซึ่งโดยส่วนตัวผมมองว่า ทั้งในเรื่องของออพชัน การใช้งาน รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ทั้งสองรุ่นมีคอนเซปต์เหมือน ๆ กันคือ ความคุ้มค่าและความประหยัดน้ำมัน ซึ่งราคาค่าตัวในรุ่นท็อปที่แตกต่างกันอยู่ประมาณ 6 หมื่นบาท Civic จะได้เครื่องแรงกว่า ช่วงล่างดีกว่า ขับสนุกกว่า ภายในสวยกว่า แต่ HRV ก็จะลุยได้ ขนของง่ายในสไตล์เอสยูวีครับ

ทุกวันนี้ทางเลือก ของ รถยนต์ไฟฟ้า อาจเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งานบนเส้นทางเดิมเป็นประจำ ขณะที่รถไฮบริดแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นบาทต่อ กม. สูงกว่ารถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็ได้เปรียบเรื่องการขับขี่ทางไกลที่สามารถขับได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเสียเวลาชาร์จไฟ หากต้องซื้อรถเป็นคันเดียวของบ้าน และต้องออกต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ

ปิดท้ายในเรื่องประเด็นของการบริการหลังการขาย การสำรองอะไหล่ จำนวนของศูนย์บริการ ไปจนถึงราคาขายต่อ ส่วนตัวมองว่ายังไงรถไฮบริด ก็ยังดูมีภาษีและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ มากกว่าแบรนด์(รถ EV) จีน ที่ทำตลาดในบ้านเรา อยู่ในปัจจุบันครับ

ล้อมกรอบ

ราคาฮอนด้า ซีวิค  3 รุ่นย่อยใหม่

- รุ่น 1.5 Turbo EL+ ราคา 1,039,000 บาท

- รุ่น 2.0 e:HEV EL+ ราคา 1,099,000 บาท

- รุ่น 2.0 e:HEV RS ราคา 1,239,000 บาท *คันที่นำมาทดสอบ