5 เหตุผล ทำไม Mercedes-Benz GLC 220 d

4MATIC Avantgarde

ยังเป็นทางเลือก ของ SUV ที่น่าสนใจ

โดย : กันต์ เย็นสบาย  

 

โมเดล GLC นับเป็นรถยนต์ในกลุ่ม เอสยูวี (Sport Utility Vehicle) ที่ได้รับความนิยม และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ Mercedes-Benz นับตั้งแต่เปิดตัวและการทำตลาด วางจำหน่ายครั้งแรก ในประเทศไทย ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และสำหรับการมาถึงของ GLC เจเนอเรชันที่สอง กับการปรับปรุงภาพรวมของรถ ให้มีความสด ใหม่และดูมีความโฉบเฉี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นย่อยเครื่องยนต์ดีเซล และนี่คือ 5 เหตุผล ว่าทำไม Mercedes-Benz GLC 220 d 4MATIC Avantgarde รุ่นนี้ ยังเป็นทางเลือก ของ SUV  ที่น่าสนใจครับ…

 

 

1. SUV ไซส์กะทัดรัด ชาติตระกูล ดูดี มีคลาส

ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนครับว่า รถยนต์ในกลุ่ม เอสยูวี เป็นกลุ่มรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และยอดขายรถยนต์กลุ่มนี้ของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยนับตั้งแต่มีการเปิดตัวรถยนต์กลุ่มเอสยูวีเมื่อปี 2011 สำหรับ ในประเทศไทยการตอบรับจากกลุ่มลูกค้า ในเรื่องการยอมรับ สมรรถนะความแข็งแกร่งตลอดจนความสะดวกสบายระหว่างการขับขี่จากเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึง เทคโนโลยีความปลอดภัย ซึ่งแต่ละรุ่นต่างก็มี ขนาด รูปลักษณ์ และดีไซน์ที่แตกต่างกัน ในสไตล์รถยนต์อเนกประสงค์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ในโมเดล Mercedes-Benz  GLA Mercedes-Benz GLE Mercedes-Benz GLS ในแบบFull-Size SUV 7 ที่นั่ง และ Mercedes-Benz G class ที่สุดแห่งยนตรกรรมออฟโรด ด้วยวิถีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ รวมไปถึง Mercedes-Benz GLC รถรุ่นนี้ ที่นับเป็นวิวัฒนาการของรถเอสยูวีขนาดกลาง ขนาดและมิติตัวถัง ตามสเปค ความยาว  4,716 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,890 มิลลิเมตร ความสูง 1,640 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,888 มิลลิเมตร ที่ถูกปรับโฉมและพัฒนาให้ตอบโจทย์ กับผู้บริโภคที่ต้องการรถกลุ่มเอสยูวี ที่เหมาะกับการขับขี่ทั้งในรูปแบบ On Road และ Off Road

 

 

2. เจเนอเรชันที่ 2 ของ GLC 1 ใน 2 รุ่นย่อย ใหม่ล่าสุด ที่ทำตลาดในประเทศไทย

Mercedes-Benz GLC 220 d 4MATIC Avantgarde รุ่นนี้ ยังนับเป็น โมเดล GLC  1 ใน 2 รุ่นย่อย ใหม่ล่าสุดที่ทำตลาดในประเทศไทย หลังจาก Mercedes-Benz ประเทศไทยได้เปิดตัว 350 e ไปก่อนหน้านี้  

โดย GLC 220 d 4MATIC Avantgarde เครื่องยนต์จะเป็นแบบ ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก EQ Boost พละกำลัง 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร Mild Hybrid 48V ช่วยในการออกตัว จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC

ส่วนในโฉม ของ GLC 350 e Plug-in Hybrid 4MATIC เครื่องยนต์จะเป็นแบบเบนซิน รหัส M254 แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 2,000 – 3,200 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 440 นิวตันเมตร เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC แบตเตอรี่ความจุ 31.2 kWh วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนระยะทางสูงสุด 120 km. (WLTP)

ซึ่งความพิเศษของออฟชั่นในรุ่นปลั๊กอินไฮบริด GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic  ก็จะมีในหลายจุด ทั้ง ชุดตกแต่งรอบคัน AMG BodyStyling  ทั้งภายนอก และภายใน และไฟหน้า แบบ DIGITAL Light หลังคากระจก Panoramic Sunroof เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า ช่วงล่างด้านหลังแบบถุงลม ล้ออัลลอย AMG แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 20 นิ้ว และระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester ระบบ Multimedia MBUX entertainment  รวมทั้งราคาค่าตัวที่แพงกว่า อยู่ที่ 4,180,000 บาท

 

 

3. ราคาโดนใจ ในรุ่นรองท็อป Avantgarde Line งานดี ลงตัว เรียบ หรู ลุย

ส่วนในรุ่นที่นำมาทดลองขับ ในโมเดล GLC 220 d 4MATIC Avantgarde : 3,720,000 บาท สีตัวถังภายนอก มี สีดำ Obsidian Black และภายใน สีดำ-น้ำตาล ARTICO two-tone แม้เป็นรุ่นรองท็อป แต่ก็มีดี ในความเป็นรุ่นเครื่องยนต์แบบดีเซล ที่ในบ้านเรายังถือเป็นทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ได้รับความนิยม  กับชุดตกแต่งรอบคันในแบบ Avantgarde Line เรียกได้ว่า โดยรวมรถคันนี้งานดี ลงตัว  เรียบ หรู และพร้อมลุยกับ ดีไซน์ไฟหน้าแบบ LED High Performance ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ที่ให้ความสว่างและมีความคมชัดสูง กันชนหน้า Avantgarde ออกแบบให้มีช่องรับอากาศด้านล่างใต้กระจังหน้าและช่องรับอากาศบริเวณมุมของ สปอยเลอร์ ล้อมกรอบด้วยงานโครเมียมสีเงิน

บันไดข้างตัวรถแบบ ราวหลังคา เป็นอะลูมิเนียมและ ซุ้มล้อมีชิ้นงานพลาสติกกันกระแทกบุเอาไว้ในรูปแบบและสไตล์ของรถออฟโรด ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต แบบ 10 ก้านคู่ ขนาด 19" คู่ยาง Continental ยางหน้า-หลัง ไซส์ 235/55R19 และดีไซน์ไฟท้าย LED ทรงยาวรีที่เชื่อมต่อกันทั้งสองฝั่งด้วยเส้นพลาสติกสีดำ  กระจกบานฝาท้ายมีใบปัดน้ำฝนติดมาให้ รวมถึงไฟเบรกดวงที่สามที่ติดตั้งอยู่ด้านบนบริเวณกึ่งกลางของกระจกบานฝาท้าย และแผ่นเหล็กและพลาสติกกันกระแทกใต้ท้องรถ ฝาท้ายไฟฟ้า เปิด-ปิดอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ

ระบบกุญแจแบบ KEYLESS – GO เพื่อเปิดเข้าห้องโดยสารใหม่ของ GLC 220d 2024 ตกแต่งคล้ายกับ New C-Class มีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์บางอย่าง ตัดออฟชันที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อทำราคา ภายในไล่จากแดชบอร์ดคอนโซลใหม่ เบาะหนังสีน้ำตาลปรับไฟฟ้านุ่ม นิ่ม นั่งสบาย พวงมาลัย Avantgarde ทรงสามก้าน แผงคอนโซลกลางแบบ High – gloss Black สีดํา ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารปรับได้ 64 เฉดสี หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบ Digital ขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 11.9 นิ้ว กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา และฟังก์ชั่น Transparent Boonet สำหรับแสดงภาพขณะขับขี่แบบ Off-road ระบบมัลติมิเดียแบบ MBUX 7 และระบบแผนที่นําทางแบบ 3 มิติ โดยรวมการออกแบบและตกแต่งห้องโดยสารยีงเลือกใช้วัสดุแบบมีเกรด รายละเอียดต่างๆ ทำอย่างพิถีพิถันเชื่อมโยงบรรยากาศภายในห้องโดยสารแบบใหม่สไตล์ Mercedes-Benz ได้เป็นอย่างดีครับ

 

 

4. เครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ และ Mild Hybrid แรง ทันใจ ขับได้สนุก

ตามสเปคเครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้ คือ ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว  1,993 ซีซี Turbocharged  Intercooler อัดเทอร์โบ พร้อม ISG และ Mild Hybrid 48V  กำลังสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที ถือว่าเป็นทางเลือก ของผู้ที่ชอบเครื่องยนต์ดีเซล ที่บริหารการใช้เชื้อเพลิงได้อย่างคุ้มค่า ทำให้เกิดความประหยัดเมื่อต้องใช้รถกันทุกวัน และไม่อยากให้รถกินน้ำมันมากจนเกินไป

เครื่องยนต์รุ่นใหม่รหัส  OM 654 นี้ ยังเป็นโครงสร้างอะลูมิเนียมล้วนครั้งแรกของเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ  สามารถทนต่อแรงดันภายใน ช่วยลดน้ำหนักชิ้นส่วนต่างๆ ลงได้มากกว่าบล็อกเหล็กหล่อ ส่วนระบบ Mild Hybrid  ช่วยให้รถมีพละกำลัง แรง ทันใจ ขับได้สนุกมากขึ้น

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.0 วินาที และความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้  219 กิโลเมตร/ชั่วโมง บอกตรงๆ ใช้งานจริงไม่ได้ลองครับ แต่เท่าที่สัมผัสได้ การตอบสนองของเครื่องยนต์มีลักษณะ ค่อยเป็น ค่อยไป ที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลัก คันเร่งไฟฟ้าตอบสนองได้ดี ไม่ต้องกดคันเร่งลึก เครื่องยนต์ถูกออกแบบให้มีแรงบิดที่เหมาะสมกับการใช้งานและประหยัดเชื้อเพลิง การทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic  ที่ปรับเปลี่ยนอัตราทดได้ไว ไม่มีอาการกระชาก อัตราเร่งที่มาแบบเรื่อย ๆ แต่ถ้าเรียกให้เร่งแซงก็กดเป็นมาได้แบบสบายๆ สไตล์แบบผู้ดี จะขับในเมืองก็จัดว่าง่าย เดินทางไกลถือได้ว่าทำได้ดีครับ

 

 

5. ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC)+ ช่วงล่าง Comfort Suspension เน้นเดินทางนั่งนุ่มสบาย

ช่วงล่างของ GLC 220 d จัดว่าดีครับ สำหรับรองรับการใช้งาน บนถนนมาตรฐานเมืองไทย ในช่วงล่างแบบ Comfort Suspension ติดรถ ซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ฟิลลิ่งของช่วงล่างจะให้ความนุ่มนวลเป็นหลักและทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ 4Matic สามารถกระจายถ่ายเทแรงบิดแบบผกผันจากล้อหน้าไปล้อหลังหรือจากล้อหลังมายังล้อหน้าได้ 45% ถึง 55% ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นทางที่วิ่งผ่าน

ซึ่งความสามารถของการยึดเกาะและถ่ายเทแรงบิดได้อย่างสมดุล เนื่องจากมีชุดขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่เชื่อมต่อกับโหมดขับเคลื่อนหรือ Dynamic Select โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือก เช่น Comfort, ECO, Sport, Sport+, Individual ระบบกันสะเทือนแม้จะเซตมาให้นั่งนุ่มสบายเวลาเดินทาง และให้ความรู้สึกผ่อนคลายในการขับทางไกล แต่ก็ยังควบคุมตัวถังได้ดีในเมื่อจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง

 

 

คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย

สำหรับใคร ที่กำลังมองหา รถยนต์ในแบบเอนกประสงค์ สักคันในงบ 3.7 ล้าน  ที่ดูดี มีระดับ ยามขับขี่ แต่เรื่องของการดูแลรักษาไม่จุกจิก มีระบบไม่ซับซ้อน ใช้งานได้ง่าย และต้องการใช้รถคันนึง ยาว ๆ นาน ๆ นับ 10 ปี Mercdes-Benz GLC 220 d 4MATIC Avantgarde คันนี้น่าจะตอบโจทย์ เพราะด้วยความที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ กับ Mild Hybrid ที่ออกแบบให้มีแรงบิดที่เหมาะสมกับการใช้งานและประหยัดเชื้อเพลิง อัตราสิ้นเปลืองเท่าที่ลองจับวัดระยะดู อยู่ที่ประมาณ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร เหมาะสมสำหรับเอสยูวีในแบบครอบครัว  น้ำมัน 1 ถังไปได้เที่ยวไกลได้ใกล้เคียง 700 กิโลเมตร ถือว่าใช้ได้ ในยุคน้ำมันแพงแบบนี้

ส่วนตัวผมชอบฟิลลิ่งการขับรถคันนี้ครับ ทั้งกำลังของเครื่องยนต์ และช่วงล่างที่เซตมาให้นั่งนุ่มสบายเวลาเดินทาง และให้ความรู้สึกผ่อนคลายในการขับทางไกล แต่ก็ยังควบคุมตัวถังได้ดีในเมื่อจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง รวมไปถึง น้ำหนัก ของ พวงมาลัย แป้นคันเร่ง และเบรก ในรถ ที่เซ็ตมาควบคุมได้ง่าย ให้ความรู้สึกมั่นใจ ว่าคุมรถได้แม่นยำ เป็นรถออฟโรดที่ควบคุมง่าย การเก็บเสียงจากการเดินทางในห้องโดยสาร ทำได้ดี ส่วนเสียงเครื่องยนต์ดีเซลรวมทั้งแรงสั่นสะเทือนขณะทำงาน นั้นเบาและนิ่งตามมาตรฐานของรถหรู  

ติดอยู่นิด คือจอมอนิเตอร์กลาง สั่งงานด้วยระบบสัมผัส ส่วนตัวมองว่าน่าจะบิ้วอิน ได้สวยและเรียบร้อยกว่านี้ เพื่อความสวยงามในเรื่องตำแหน่งการติดตั้ง ส่วนเรื่องของออปชันและระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่จำเป็นก็มีมาให้ครบ ๆ ในรถ แม้ออปชันจะไม่ล้น อย่างในตัวรุ่นท็อป โฉมปลั๊กอินไฮบริด GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic   แต่ก็เพียงพอ สำหรับการใช้งานจริง และยังเป็นทางเลือก ของ SUV  ที่น่าสนใจครับ…