NEW CITY HATCHBACK e:HEV

เติมไลน์เครื่องยนต์ให้ซิตี้เดอะซีรีส์

 

โดย วชิระ เรืองมาลัย

 

ในที่สุดปลายเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาบ้านฮอนด้าก็อวดโฉมซิตี้ แฮทช์แบคคันใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มให้กับครอบครัวฮอนด้า ซิตี้ ด้วยเครื่องยนต์ไฮบริด ที่ฮอนด้าให้ฉายาว่า เป็นเครื่องยนต์สปอร์ตฟูลไฮบริด i-MMD

 

ครั้งนี้เลยทำให้สมาชิก ซิตี้เดอะซีรีส์ก็ลงสู่สนามแข่งขันแบบสมบูรณ์ฟูลทีมทีเดียวครับ คือ มีตั้งแต่แบบ 4 ประตูซีดาน และ 5 ประตูแฮทช์แบค และมีให้เลือกทั้งสองเครื่องยนต์คือ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบ สำหรับคนชอบความดุดันจิ๊ดจ๊าดยืนระยะความเร็วปลายได้ท็อปสปีดสูง ๆ และเครื่องยนต์ ไฮบริด ที่เน้นความนุ่มนวลขับเนียนและประหยัดเทคโนโลยีเยอะ

เราได้ไปทดลองสมรรถนะซีตี้ แฮทช์แบค ไฮบริด คันใหม่กัน ในโอกาสที่ทางค่ายฮอนด้า จัดเตรียมกันไว้ให้ในท่ามกลางภาวการณ์ระบาดของโควิด-19 รอบที่สามที่กำลังหนักหน่วง แต่ฮอนด้าก็วางระบบการจัดการไว้ได้ตามมาตรการโซเชียล ดิสแทนซิ่ง อย่างดีเยี่ยม โดยพวกเราแทบจะไม่ได้พบปะกันเลยเสียด้วยซ้ำ ไปดูกันครับว่า ซิตี้แฮทซ์แบค ไฮบริด ลำใหม่จะมาอุดช่องว่างลูกค้าซิตี้ตรงไหนและมีอะไรเด่น ๆ จัดมาให้บ้าง

 

ซิตี้แฮทซ์แบค ไฮบริด หรือ e HEV วางราคาจำหน่ายไว้ 849,000 บาท เป็นราคาที่เรียกว่าจัดมาเต็มครับ เป็นรุ่นท็อปเวอชั่น RS ของค่ายฮอนด้าเลยทีเดียว นอกจากเครื่องยนต์ฟูลไฮบริดแล้ว ซิตี้ แฮทช์ ไฮบริดยังเด่นเรื่อง อุปกรณ์ความปลอดภัย จัดตัวช่วยในเรื่องของ ฮอนด้าเซนซิ่งมาครบทุกลีลา และที่ขาดไม่ได้ในเรื่องห้องโดยสารกับความโดดเด่นในฟังก์ชั่นของการปรับเบาะของแฮทซช์แบคจากซิตี้ที่เรียกว่า เบาะนั่งอัลตร้าซีท (ULTR) อันนี้ต้องบอกว่าถูกใจผมมาก

 

ดูกันที่เครื่องยนต์ครับ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบค อี:เอชอีวี ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบ Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 - 3,000 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมัน ดีเยี่ยมถึง 27 กิโลเมตร/ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86 กรัม/กิโลเมตร สามารถรองรับน้ำมัน E20

 

การจัดระบบการทดสอบโดยให้สื่อมวลชนไปรับรถที่สำนักงานฮอนด้า บางนา รับกุญแจ มีเวลา 2-3 ชั่วโมงที่จะได้ทดลองขับขี่ไปไหนก็ได้แล้วกลับมาส่งรถคืนในเวลา 4 โมงเย็น หลายคนเลือกที่จะใช้เส้นทางลอยฟ้ามุ่งหน้าออกสู่ปริมณฑล เส้นทาง กรุงเทพฯ-ชลบุรี ทำให้ได้มีเวลาเรียนรู้เรื่องสมรรถนะบนเส้นทางโล่ง ๆ ยาว ๆ เครื่องยนต์ไฮบริดประสิทธิภาพการตอบสนองไม่ได้ด้อยไปกว่า 1.0 เทอร์โบมากนัก มีนิดหน่อยในเรื่องความดุดันจัดจ้าน และตีนปลาย แต่ก็สามารถให้สมรรถนะที่ดีได้ทั้งตีนต้นและปลายไปแบบเนียน ๆ และ สามารถเติมความเร้าใจได้บ้างจากแพดเดิลชิฟ ทั้งบวกและลบเกียร์ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการขับขี่ โดยรวมแล้วถือว่าการตอบสนองของเครื่องยนต์ทำได้ดีทีเดียว ความเร็วปลายสำหรับรถขนาดนี้เกิน 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ก็จัดได้ว่าน่าใช้แล้วครับ

 

สิ่งที่ ซิตี้ แฮทช์แบค อยากจะบอกว่านี้ถือเป็นการเปิดตัวที่เมืองไทยเป็นครั้งแรกในโลก มีมาให้ที่เรียกว่าโดดเด่นและไม่พูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ เรื่องระบบการช่วยขับและการเตือนเรื่องความปลอดภัย ฮอนด้าเซนซิ่ง ครับเพราะรุ่นนี้จัดมาให้เต็ม อาทิ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)/ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)/ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)/ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)/ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) และเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัย อาทิ ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) และ ระบบ Auto Brake Hold/ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)/ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) สามารถล็อกรถอัตโนมัติ เมื่อเดินออกห่างจากตัวรถในระยะ 1.5 เมตรขึ้นไป /ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้าง (Side Airbags) และ ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags)/กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย /ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยป้องกันล้อล็อกเมื่อเบรกกะทันหัน และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) บนพื้นถนนที่ลื่น/ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist - VSA) /ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist - HSA)  /สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal - ESS)

 

ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานระดับพรีเมียมที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งาน อาทิ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง/มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว /ระบบเครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI /ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) /ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)/ระบบสตาร์ตเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)/พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์/ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 2 ช่อง /ช่องจ่ายไฟสำรอง ด้านหน้า 1 ตำแหน่งและด้านหลัง 2 ตำแหน่ง /พนักเท้าแขนด้านหลังพร้อมที่วางแก้ว

อีกทั้ง ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง

 

พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่น อีกมากมาย หลากหลาย ซึ่งผมไม่ขอกล่าวในที่นี้ เพราะใช้ได้ไม่หมด เดี๋ยวจะแสดงความคิดเห็นได้ไม่ดีนัก ในส่วนของภายในห้องโดยสาร ผมบอกเลยว่าชอบนั่นก็คือ ระบบจัดที่นั่งแฟลกซิเบิลในรูปแบบของที่นั่งแบบอัลตร้าซีท โดยการออกแบบภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบก อี:เอชอีวี ใหม่ ยังคงเน้นความเรียบง่าย ทันสมัย แฝงความสวยงามประณีตในรายละเอียด ภายใต้แนวคิด “Ambitious Beauty” ควบคู่ไปกับการใช้งานที่ดีเยี่ยม เสริมด้วยการใช้เส้นสายในแนวนอน มอบความรู้สึกโปรงโล่งและความสะดวกสบายในการขับขี่ วัสดุตกแต่งคอนโซลหน้าแบบ Piano Black พื้นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่กว้างขวาง ภายในหรูหราและสวยงามในโทนสีดำ มาพร้อมเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง รองรับการใช้งานในทุกมูฟเมนต์ด้วยเบาะนั่งอัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับ 60:40 ที่ปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง 4 โหมด พร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของฮอนด้า ได้แก่

- Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง

- Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว

- Tall Mode: เบาะด้านหลังพับขึ้น เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง

- Refresh Mode: เบาะด้านหน้าพับเชื่อมต่อกับเบาะด้านหลัง สร้างพื้นที่ผ่อนคลายสะดวกสบายสูงสุด

 

ซิตี้ แฮทซ์แบค ไฮบริด นับเป็นอีกตัวเลือกสำหรับแฟน ๆ ของฮอนด้า ซิตี้ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภค สายที่ชอบความสะดวกสบายในการขับขี่รถขนาดเล็กที่ให้ความสบายเหนือชั้นเทียบเท่ารถยนต์นั่งขนาดใหญ่ น่าจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากับ ค่าตัวนะครับหากเทียบกับออฟชั่นที่มีมาให้แบบฟูล ๆ