NISSAN ALMERA 2024

ปรับฟีเจอร์ใหม่ ในเวอร์ชั่นอัพเกรด

 

โดย : กันต์ เย็นสบาย

 

 

ในปัจจุบันการทำตลาดในประเทศไทย นิสสันยังคงเดินหน้าโฟกัสรถยนต์ 4 โมเดลหลัก ได้แก่ Nissan Terra , Nissan Navara และ Nissan Kicks e-POWER และ Nissan Almera  นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัวคอมแพคคาร์ Nissan Almera รุ่นปรับโฉมล่าสุดอย่างเป็นทางการในไทย โดยที่ตัวรถยังคงอยู่ในโฉมของ Almera เจนเนอเรชั่น 4 ซึ่งทำตลาดมาตั้งแต่ช่วงปี 2562

ถ้าจะพูดถึงความเป็นมาของ Nissan Almera รถรุ่นนี้ ถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงมาตลอดและกลายเป็นสมาชิกของหลาย ๆ ครอบครัว นับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงปัจจุบัน ทั้งจากสมรรถนะ ความสะดวกสบายของการใช้งาน และห้องโดยสารที่กว้างขวาง ฟังก์ชั่นครบ และวางใจได้ ในแบบอีโคคาร์ เป็นรถที่เน้นความประหยัดในแบบซีดาน 4 ประตู ที่ขับขี่ง่าย คล่องตัว ประหยัดน้ำมัน ค่าบำรุงรักษาต่ำ และราคาไม่สูงจนเกินไป

และนี่คือบทสรุป หลังร่วมทริปทดลองขับ New Nissan Almera รุ่นปรับโฉมใหม่ ในแบบ One Day Trip ระยะทางไป/กลับ 250 กม. บนเส้นทาง กรุงเทพฯ - ชลบุรี ฟีลลิ่งการขับขี่แบบใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรและมีการปรับฟีเจอร์อะไรใหม่บ้าง ในเวอร์ชั่นอัพเกรดนี้ เราไปติดตามกันครับ

 

 

เพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ เบาะลดความร้อน กุญแจอัจฉริยะ และแอพพลิเคชั่นควบคุม/สั่งการระยะไกล

ไฮไลต์ของตัวรถ สำหรับ Nissan Almera ในรุ่นปี 2024 นี้ จะมาพร้อมปรับอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ โดยรุ่นย่อย V และ VL จะมากับชุดเบาะ Quole Modure  (โควเล่ โมดูเร่) ซึ่งมีคุณสมบัติลดการสะสมความร้อน ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารเดินทางได้สะดวกสบายขึ้น

รวมทั้ง ในส่วนของกุญแจอัจฉริยะ พร้อมระบบล็อค/ปลดล็อคอัตโนมัติ เมื่อเข้าใกล้หรือออกห่างจากตัวรถ ผู้ขับสามารถจอดรถและเดินไปทำธุระได้เลย ซึ่งระบบจะช่วยล็อครถให้โดยอัตโนมัติ และเมื่อผู้ขับเดินกลับมาที่รถ กุญแจอัจฉริยะจะส่งสัญญาณปลดล็อคให้อัตโนมัติเช่นกัน เพิ่มความสะดวกในขณะถือสัมภาระ เนื่องจากไม่ต้องกดปุ่มที่ประตู และป้องกันการลืมล็อครถ

  

 

ในส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ ของรถ ผ่าน NissanConnect Services แอพพลิเคชั่นสำหรับควบคุม/สั่งการระยะไกล เช่น สตาร์ทเครื่องยนต์, เปิดระบบปรับอากาศ, ตรวจสอบสถานะการล็อคประตู, สั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรระยะไกลเพื่อค้นหารถ รวมถึงฟังก์ชัน My Car Finder ค้นหาตำแหน่งรถ พร้อมนำทางไปยังจุดที่จอดรถล่าสุด และฟังก์ชั่น SOS ขอความช่วยเหลือฉุกเฉินจากศูนย์ผ่านระบบเครื่องเสียงในรถขณะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

นอกจากนี้ความพิเศษ ของตัวแอพฯ ยังสามารถแจ้งเตือนสถานะต่าง ๆ ของรถ เช่น ตรวจสอบการล็อครถ, ตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถ, แจ้งเตือนเมื่อถึงกำหนดการบำรุงรักษาตามระยะ, แจ้งเตือนเมื่อใช้ความเร็วเกินกำหนด, การให้ข้อมูลเกี่ยวกับระยะทางและระยะเวลาที่ใช้รถ และเมื่อสัญญาณกันขโมยทำงาน หรือเมื่อรถออกนอกพื้นที่ที่กำหนด แอพฯ จะแจ้งข้อมูลไปยังเจ้าของรถได้ทันทีครับ

  

 

ด้านระบบอินโฟเทนเมนท์ NissanConnect จะทำงานผ่านจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Android Auto และ Apple CarPlay, การใช้งานระบบนำทางผ่าน Google Map รวมถึงระบบสั่งงานด้วยเสียง และมี Wireless Charger ให้ใช้งาน ต่อด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ทั้ง Cruise Control ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, ระบบ Lane Departure Warning แจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง พร้อมฟังก์ชั่นสั่นเตือนที่พวงมาลัย, ระบบ Blind Spot Warning เตือนจุดอับสายตา, ระบบ Intelligent Forward Collision Warning ช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า, ระบบ Hill Start Assist ช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบ Rear Cross Traffic Alert ตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย และระบบ Tire Pressure Monitoring System ตรวจสอบแรงดันลมยางอัตโนมัติ

รวมทั้งระบบความปลอดภัยพื้นฐานมี ระบบ Vehicle Dynamic Control ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ, ระบบเบรค ABS ป้องกันล้อล็อค, ระบบ EBD ช่วยกระจายแรงเบรค, ระบบเสริมแรงเบรค BA, เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ Pretensioner and Load Limiter Seatbelts และถุงลมนิรภัย SRS 6 จุด ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อยอีกด้วยครับ

 

 

สปอร์ต กว้างขวาง นั่งสบาย ในแบบซีดาน 4 ประตู

ภาพรวมดีไซน์ของตัวรถ และ ภายในห้องโดยสาร ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ยังดูทันสมัย ลงตัวในแบบซีดาน 4 ประตู ด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion ซึ่งเป็นเทรนด์การออกแบบรถยนต์ยุคใหม่ของ Nissan พร้อมกับโลโกแบรนด์ Nissan ใหม่ เส้นสายของตัวรถจากด้านหน้าจรดด้านหลัง สื่อถึงความปราดเปรียว สะดุดสายตา แม้จะมองจากระยะไกล

โดดเด่นสะดุดตา คือ เฉดสีเทา เกรย์ สกาย เพิร์ล (Gray Sky Pearl) ที่ดูทันสมัย และแปลกตา เมื่อยามที่รถอยู่กลางแจ้ง สีเทาใหม่นี้จะเหมือนเปลี่ยนเฉดสีไปได้มากมายหลายโทนสี ขึ้นอยู่กับเวลา และมุมที่มอง โดยจะออกสีเทาม่วง เมื่อมองในที่ ๆ มีแสงน้อย แต่จะออกโทนสีฟ้ามากขึ้นถ้าอยู่ในที่มีแสงแดดจัด และถ้ามองจากระยะไกล เราจะเห็นเป็นเฉดสีทึบ แต่ถ้าขยับเข้ามามองใกล้ ๆ ตัวรถ เราจะเห็นเงาประกายมุกที่ซ่อนอยู่ บวกกับชุดแต่ง Ignite Package ด้วยชุดสเกิร์ตหน้า ชุดสเกิร์ตข้าง และ สเกิร์ตหลัง ชุดสเกิร์ตรอบคันถูกตกแต่งด้วยสีเดียวกับตัวถังตัดกับสีดำเงาพรีเมียม เสริมด้วยสปอยเลอร์หลังสีดำเงาพรีเมียมทรง Ducktail ช่วยเพิ่มเติมเต็มลุคสปอร์ต ส่วนล้อแมกสีเทาเงิน มาพร้อมยาง Dunlop Ensave ขนาด 195/65 R15 ขนาดกำลังดี สวยเต็มซุ้มล้อ และขับขี่ดี และเก็บเสียงรบกวนจากการใช้งานได้ดี

 

 

ภายในห้องโดยสาร แม้จะยัง ไม่มีที่พักแขนตรงเบาะหลัง และแอร์ในด้านหลังมาให้ แต่ก็ยังตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน  รักษาจุดเด่นเรื่องความกว้างขวางนั่งสบายสำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่ง และพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่จุของได้มาก ภายในห้องโดยสารกว้าง มีพื้นที่วางขาทั้งสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และผู้โดยสารตอนหลังที่มีระยะห่างนั่งสบาย แผงคอนโซลสีน้ำเงินเข้ม บุด้วยวัสดุซอฟท์ทัช ให้ผิวสัมผัสที่นุ่มมือ พวงมาลัยทรง 3 ก้าน กริฟจับกระชับมือ และให้น้ำหนักในการควบคุมที่พอดี มาตรวัดเรืองแสงแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว มองเห็นทุกฟังค์ชันการแสดงข้อมูลการขับขี่ชัดเจน สามารถเลือกปรับได้ตามความชอบใจของผู้ขับขี่ 

 

 

ระบบขับเคลื่อนยังคงเดิม เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ

ระบบขับเคลื่อนยังคงเดิม ทุกรุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส HRA0 แบบ 3 สูบ ความจุ 1.0 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จ เสริมความประหยัดด้วยระบบ Idling Stop ตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติขณะหยุดนิ่ง ส่งกำลังด้วยเกียร์ XTRONIC CVT พร้อมฟังก์ชั่น D-Step Logic กำลังสูงสุด 100 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 15.4 กก.-ม. อัตราสิ้นเปลืองตามสเปกเฉลี่ยประมาณ 23.3 กม./ลิตร**

 

 

 

 

เครื่องยนต์รุ่นนี้เป็นเครื่องยนต์ที่ให้อัตราเร่งที่แรง และรวดเร็วจากแรงบิดที่ต่อเนื่อง (Flat Torque) นอกจากนี้ ยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Ideling Stop) ช่วยประหยัดน้ำมัน ซึ่งนอกเหนือจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เทอร์โบแล้ว ยังมีนวัตกรรมที่ปรับมาล่าสุด อาทิ ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head หัวฉีดแบบ Central Injector และ Turbo Charger ที่ควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเลคทรอนิค รวมถึงเทคโนโลยีเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating ช่วยเพิ่มความทนทาน ลดการสึกหรอ และน้ำหนักของกระบอกสูบ ทำให้ระบายความร้อน และเผาไหม้ได้ดีขึ้น

ระบบรองรับ นุ่ม นั่งสบาย ด้วยช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง เป็นช่วงล่างพิมพ์นิยมของรถเก๋ง แต่ก็ให้ความรู้สึกนุ่ม และนั่งสบาย ทั้งด้านหน้า และหลัง การดูดซับแรงกระแทกจากผิวถนน ทำได้ดี โดยเฉพาะรอยต่อคอสะพาน เก็บอาการกระด้างได้ดีพอสมควร ส่วนระบบเบรกห้ามล้อ ด้านหน้าแบบจาน พร้อมช่องระบายความร้อน และด้านหลังแบบดุม

เทคโนโลยีความปลอดภัย 360° SAFETY SHIELD และระบบอำนวยความสะดวกขณะขับมี เทคโนโลยี Intelligent Around View Monitoring กล้องอัจฉริยะรอบทิศทาง, ระบบ Moving Object Detection ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน, ระบบ High Beam Assist เปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ

 

 

สีมีให้เลือกในแบบธรรมดาและสีทูโทน ผ่าน 4 รุ่นย่อย

Nissan Almera รุ่นปี 2024 แยกจำหน่ายเป็น 4 รุ่นย่อย ประกอบด้วยรุ่น E, EL, V และ VL  ส่วนสีตัวถังเลือกได้ระหว่างสีขาว Storm White, สีดำ Black Star และสีเทา Gun Metallic (ทุกรุ่น), สีแดง Radiant Red, สีน้ำเงิน Night Blue (รุ่น VL, V และ EL)} สีเทา Gray Sky Pearl (รุ่น VL และ V) และสีทูโทนสำหรับรุ่น VL ระหว่าง สีเทา Gray Sky Pearl หลังคาสีดำเงา, สีเทา Gun Metallic หลังคาสีดำเงา และสีขาว Storm White หลังคาสีดำเงา

ส่วนราคาจำหน่ายปรับใหม่ ใน 4 รุ่นย่อยตามนี้เลยครับ

Almera E ราคา 549,000 บาท

Almera EL ราคา 589,000 บาท

Almera V ราคา 669,000 บาท

Almera VL ราคา 699,000 บาท

 

*หมายเหตุ

Nissan Almera ในรุ่นปี 2024 นี้ จะมาพร้อมปรับอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ ราคาจำหน่ายรุ่นมาตรฐานเกรด E เริ่มต้นที่ 549,000 บาท ข้อเสนอพิเศษ เลือกรับดอกเบี้ย 0% หรือดาวน์เริ่มต้น 9,999 บาท ฟรี ประกันภัยชั้นหนึ่ง Nissan Premium Protection พร้อมฟรีค่าแรงเช็คระยะ 5 ปี หรือ 70,000 กม. และฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Stylish package สำหรับรุ่นย่อย VL

* ทั้งนี้ บริการ NissanConnect Services จะให้บริการฟรีในช่วง 3 ปีแรก เมื่อพ้นกำหนด 3 ปีไปแล้วสามารถสมัครและซื้อบริการเพิ่มเติมได้เพื่อให้สามารถใช้ และรับประโยชน์จากบริการนี้ได้อย่างต่อเนื่อง

 

 

คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย

ในทริปนี้ผมขับ Almera V ราคา 669,000 บาท ออกสตาร์ทจากถนนสาธร วิ่งออกทางด่วนบูรพาวิถี มุ่งสู่ถนนเลียบนที ที่ย่านบางทราย และเลยไปชมทะเล ต่อแถว ๆ บางแสน ชลบุรี แบบขับท่องเที่ยว ใช้งานจริง ในเครื่องบล็อกเดิม เบนซิน 3 สูบ  1.0 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เทอร์โบ 100 แรงม้า จากเครื่องยนต์บล็อกเล็ก มีเทอร์โบ และเกียร์สายพาน ทีไม่ได้มีการปรับ เปลี่ยนอะไรจากรุ่นก่อนหน้า ปี 2023 

แม้จะเป็นรถเล็กแบบอีโคคาร์ แต่กำลังของรถใช้ได้เลยครับ อัตราเร่งตอบสนองทันใจ ไม่รอบรอบนาน และคันเร่งตามเท้าได้ทันใจ ใช้ความเร็ว ปกติตามกฎหมายกำหนด 100-120 กม./ชม. แต่ถ้าเติมวิ่งใช้ความเร็วสูง กำลังรถก็ยังไหลได้สบาย ๆ แม้รถจะมีคอนเซ็ปต์ มุ่งหวังเรื่องการปล่อยไอเสียต่ำ จิบน้ำมันน้อย ส่วนการควบคุมพวงมาลัยขณะใช้ความเร็ว ก็สามารถควบคุมการเลี้ยวได้ดี  รถมีความคล่องตัวในการใช้งาน ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด

 

 

ส่วนอีกเรื่องที่ชอบ คือ สมรรถนะของระบบช่วงล่างเดิม รองรับการนั่งเดินทางได้ นุ่ม นั่งสบายครับ ทั้งด้านหน้า และหลัง การดูดซับแรงกระแทกจากผิวถนน  โดยเฉพาะช่วงรอยต่อคอสะพาน เก็บอาการกระด้างทำได้ดีพอสมควร ระบบช่วงล่างยังถือว่า เกาะ หนึบ และควบคุมมั่นใจ เมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกันเดิม ๆ จากโรงงาน การเก็บเสียงรบกวนเมื่อใช้ความเร็วก็ทำได้ดีระดับต้น ๆ ในตลาด

ปิดท้ายแม้ในภาพรวมรถในพิกัดอีโคคาร์ ในกลุ่มนี้ก็มี คู่แข่งในเซ็กเมนต์เดียวกันที่มีความน่าสนใจ หลายรุ่นรถ ทั้ง Toyota Yaris Ativ และการ ไมเนอร์เชนจ์ของ Honda City และ Mazda 2 รวมทั้งการแข่งขันที่รุนแรงจากการรุกตลาดของแบรนด์รถไฟฟ้าจากประเทศจีน

แต่ด้วยดีไซน์ที่รถ ที่ยังดูหล่อใช้ได้กับการรักษาจุดแข็ง ห้องโดยสารที่กว้างขวาง และความสะดวกสบายของการใช้งาน แต่การปรับโฉม ด้วยการใส่ระบบอำนวยความสะดวก-ปลอดภัยใหม่ ๆ  ที่ดูทันสมัยมากขึ้น การเชื่อมต่ออัจฉริยะ ฟีเจอร์ ผ่านแอพพลิเคชัน ที่สั่งสตาร์ทรถ เปิดแอร์ และตรวจสอบความพร้อมในการใช้รถได้ ทั้งในตัวท็อป และรองท็อป ก็เป็นไอเดียแนวทางที่น่าสนใจ และน่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ตรงใจและคุ้มค่าราคาค่าตัวขึ้นด้วยครับ…