ขับกรุบกริบ JAECOO 7 (SHS) (Super Hybrid System)
ในสนามแข่ง! แรง ลุย ได้ ในแบบเสียบปลั๊ก
ทดลองขับโดย กันต์ เย็นสบาย
โอโมดา แอนด์ เจคู ประเทศไทย แบรนด์รถยนต์ภายใต้ Chery Automobile บริษัทเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนำระดับโลกสัญชาติจีน กับการทำตลาดในไทย ที่นำทีมมาโดย OMODA C5 EV และ JAECOO 6 EV ที่ได้เปิดวางจำหน่ายในบ้านเราไปแล้ว ส่วนรถอีกหนึ่งรุ่นที่ทาง โอโมดา แอนด์ เจคู พร้อมที่จะเปิดตัววางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดเมืองไทยปี 2568 นี้ นั่นก็คือ JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) รถยนต์ในแบบ HEV + EV ที่พัฒนาต่อยอด มาเพื่อผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ต้องการรถยนต์ที่ให้พละกำลังและประสิทธิภาพในการขับขี่ควบคู่กับการประหยัดพลังงานครับ
วันนี้ทาง โอโมดา แอนด์ เจคู ประเทศไทย ได้จัดเป็นกิจกรรมทดสอบสมรรถนะของรถปลั๊กอินไฮบริด รุ่นนี้ที่สนาม Pathumthani Speed Way ครับ เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทดสอบสมรรถนะการขับขี่ในสถานการณ์จำลองเสมือนจริง เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่จากรถยนต์ JAECOO 7 SHS ที่มีจุดขายหลัก คือสามารถเดินทางไปได้ไกลกว่าด้วยขุมพลังจากทั้ง 2 ส่วน ทั้งระบบไฟฟ้า และระบบไฮบริด เพื่อทำให้รถคันนี้ไปได้ไกลกว่าต่อการเติมพลังงานเพียง 1 ครั้ง สามารถเดินทางไปได้ไกลถึง 1,300 กิโลเมตร
หรู ดู สปอร์ต แบบฉบับ รถรูปทรงเหลี่ยม
ในด้านงานออกแบบของ JAECOO 7 SHS จะเน้นความบึกบึน แข็งแกร่ง ตามแบบฉบับรถเอนกประสงค์ครับ และเป็นรถยนต์ไฮบริดขนาดกลาง พิกัด B-SUV ที่มาในรูปแบบตัวถังของรถที่สามารถออกไปลุยในเส้นทางใหม่ ๆ ได้ โดยมันมีโจทย์การสร้างขึ้นมาว่า มันจะต้องลุยไปได้ไกลมากกว่า JAECOO 6 รถยนต์ไฟฟ้าทรงกล่องสายลุย ที่เปิดตัวมาก่อนหน้า และได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งในประเทศไทย
JAECOO 7 SHS จะมีมิติขนาดตัวรถมีความยาว 4,500 มม. ความกว้าง 1,865 มม. ความสูง 1,670 มม. และมีระยะฐานล้อ 2,672 มม. มีระยะห่างจากพื้น 174 มม. เพื่อให้สามารถลุยได้ในเส้นทางออฟโรด ดีไซน์กระจังหน้าแบบทรงหกเหลี่ยมรูปตัว U ขนาดใหญ่ ด้านในเป็นตะแกรงสีดำมาในแบบแนวตั้ง พร้อมติดตราชื่อแบรนด์ JAECOO ไว้ตรงกึ่งกลาง
ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้าแบบแยกส่วน โดยด้านบนจะเป็นชุดไฟ DRL LED ที่มาในทรงเหลี่ยมแบบเรียวยาว ตกแต่งลายเหมือนธงตารางหมากรุก ส่วนชุดไฟส่องสว่างด้านล่างจะเป็นแบบ LED ที่ออกแบบให้เป็น 2 ชั้น ขณะที่ชายล่างมาพร้อมช่องดักอากาศทรงเหลี่ยม ที่มีไฟตัดหมอกติดตั้งอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ฝั่ง
ส่วนมือเปิดประตูแบบ pop up ถูกออกแบบให้ราบเรียบไปกับตัวรถ ขณะที่ด้านข้างตัวรถ มากับเส้นสายที่เรียบง่าย ตกแต่งที่เสา A และ C ด้วยแถบสีดำ ซุ้มล้อตกแต่งด้วยแถบสีดำ ที่ชาร์จไฟอยู่ฝั่งขวาของรถ ส่วนหัวเติมน้ำมันอยู่ฝั่งซ้ายของรถสามารถใช้งานผ่านสาย V2L ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า 3.3 kWมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วรัดยาง 235/50 R19 ขนาดเท่ากันทั้งหน้าและหลัง
ด้านท้ายงานออกแบบก็จะเน้นในรูปทรงเหลี่ยมทั้งหมดเริ่มจากชุดไฟท้ายที่เป็นแถบสีเหลี่ยมที่วางพาดยาวเต็มพื้นที่ส่วนท้าย ตรงกลางติดป้ายชื่อแบรนด์ JAECOO เสริมความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์หลังคาสีดำ มาพร้อมกันชนท้ายขนาดใหญ่สีดำ การ์ดกันกระแทกด้านหลังสีเงิน พร้อมกับติดตั้งปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงสี่เหลี่ยม
ส่วนภายในห้องโดยสารเน้นการออกแบบพรีเมียม แผงแดชบอร์ดติดตั้งพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงสามก้าน วางอยู่ด้านหน้าจอแบบ LCD ที่วางแบบลอยตัวขนาด 10.25 นิ้ว ขณะที่หน้าจออินโฟเทนเมนต์จะมาในแบบสัมผัสมีขนาด 14.8 นิ้ว ที่คอนโซลกลางจะถูกเชื่อมต่อกับแผงคอนโซลหน้าโดยออกแบบให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มาพร้อมคันเกียร์ไฟฟ้าติดตั้งเป็นก้านเกียร์อยู่ด้านขวาของพวงมาลัย แท่นชาร์จมือถือแบบไร้สายที่ชาร์จได้พร้อมกัน 2 เครื่อง, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามามาพร้อมม่านบังแดดระบบไฟฟ้า เบาะที่นั่งหุ้มด้วยหนัง เบาะนั่งฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง, เบาะผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง และเบาะนั่งด้านหลัง มีที่พักแขนกลางมาให้ พร้อมช่องแอร์ และพับได้แบบ 40:60 และชุดลำโพงเครื่องเสียงติดรถของ Sony
ขุมพลัง SHS (Super Hybrid System) 347 แรงม้า นวัตกรรม HEV + EV
ในด้านพละกำลังขับเคลื่อนจะมากับขุมพลัง PHEV ที่เป็นการทำงานรวมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 1.5 TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 ทำงานคู่กับ มอเตอร์ 2 ตัว คือทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนและมอเตอร์กำเนิดไฟฟ้า โดยเมื่อทำงานร่วมกันจะให้พละกำลังที่มากถึง 347 แรงม้า (HP) (จากเครื่องยนต์ 143 แรงม้า จากมอเตอร์ 204 แรงม้า ) และแรงบิดสูงสุด 525 นิวตัน-เมตร (จากเครื่องยนต์ 215 นิวตัน-เมตร จากมอเตอร์ 310 นิวตัน-เมตร)
ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ DHT ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์แบบมาเพื่อรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดโดยเฉพาะ ที่เน้นการสับเปลี่ยนระหว่าง 2 ระบบให้เป็นไปอย่างราบรื่น ใกล้ที่วางแก้ว ตรงคอนโซลกลาง มาพร้อมปุ่มปรับโหมดการขับขี่ ที่ผู้ขับสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแบบไฟฟ้าล้วน หรือแบบไฮบริดโดยระบบจะคำนวณให้แบบอัตโนมัติว่าช่วงไหนจะใช้กำลังจากมอเตอร์ หรือช่วงไหนจะใช้กำลังจากเครื่องยนต์
ขณะที่ชุดแบตเตอรี่จะเป็นแบบ Ternary lithium battery ขนาด 18.3 kWh กิโลวัตต์-อาว์เออร์ (AC charge6.6 kW /DC charge 40 kW) วิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 106 กม.(NEDC) และช่วยให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 120 กม./ ชม. หากมีแบตเตอรี่มากกว่า 25% ซึ่งหากรวมระยะทางการขับขี่ทั้งน้ำมัน และไฟฟ้า เมื่อชาร์ตไฟเต็มพร้อมน้ำมันเต็มถังจะวิ่งครอบคลุมระยะทางไกลถึง 1,300 กม.
ในด้านความปลอดภัย ส่วนของระบบแบตเตอรี่ที่มีการป้องกันรอบด้าน ทั้งการทนความร้อน แรงกระแทก และการกันน้ำ พร้อมฟังก์ชันการป้องกันการปิดเครื่องภายใน 0.002 วินาทีหลังเกิดการชน ทำให้สามารถตัดแหล่งจ่ายไฟได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้แบตเตอรี่อุณหภูมิสูงเกินไป และมีระบบรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ในกรณีพิเศษยังสามารถกลายเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่กลางแจ้ง เปลี่ยนรถให้กลายเป็นสถานีจ่ายไฟฟ้าที่ปลอดภัยได้ในกรณีฉุกเฉิน ด้วยความสามารถในการปล่อยประจุไฟฟ้าภายนอกได้ 3.3 กิโลวัตต์ รวมไปถึง ADAS ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่กว่า 19 รายการ รวมทั้งระบบการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ (DMS)
ทดสอบสมรรถนะในสนาม Pathumthani SpeedWay
ในส่วน ของการทดสอบสมรรถนะ ของ JAECOO 7 SHS ในครั้งนี้ คุณ สุชาดา ชูสงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและภาพลักษณ์องค์กร บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "นอกเหนือจากดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยว และมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) นำเสนอนวัตกรรม HEV + EV ล้ำสมัยผ่านการผสานเทคโนโลยี 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 ระบบซูเปอร์อิเล็กทริกไฮบริด DHT และแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถมอบทั้งสมรรถนะที่เหนือชั้นและการประหยัดพลังงานที่เป็นเลิศ การทดสอบสมรรถนะครั้งนี้ จะเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านจะได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่รูปแบบใหม่ ที่ผสานความเป็นรถไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างไร้ข้อจำกัด เราเชื่อมั่นว่า JAECOO 7 SHS (Super Hybrid System) จะมาเปลี่ยนมาตรฐานการขับขี่ในตลาดรถยนต์ไทย ด้วยนวัตกรรมที่มอบทั้งอิสระและความเพลิดเพลินในการขับขี่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน"
โดยหลังจากฟังทีมงาน ของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ สเปคของตัวรถ รวมถึงรายละเอียดของการทดสอบในสนาม ก็ถึงเวลาของการทดสอบสมรรถนะ JAECOO 7 SHS ขับเคลื่อนล้อหน้าคันนี้ ในสนามแข่ง Pathumthani Speed Way ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการขับ ในสถานีต่าง ๆ ทั้ง การเปลี่ยนเลน เข้าโค้ง การทรงตัวของรถ การควบคุมรถบนพื้นผิวเปียก และการขับบนทางขรุขระ(จำลอง)เล็ก ๆ เพื่อให้สื่อมวลชน ได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่ JAECOO 7 SHS
ซึ่งจากการทดลองขับในสนาม ในเรื่องของสมรรถนะการตอบสนองของระบบ Plug-in Hybrid หรือ SHS (Super Hybrid System) จุดเด่นคือ รีดพละกำลังได้ดี ครับ ซึ่งการทำงานของ JAECOO 7 PHEV จะเน้นการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลักก่อน โดยภาพรวมการขับขี่เจ้ารถคันนี้ในสนามทดสอบ ให้ความรู้สึกเหมือนกับขับรถยนต์ไฟฟ้าแทบจะทุกประการ ครับ ในช่วงย่านความเร็วไม่เกิน 80 กม./ชม. แต่ถ้าเรามีการกดคันเร่งลึกขึ้น หรือมีการใช้ความเร็วสูงขึ้น ตัวรถจะเรียกให้เครื่องยนต์มาช่วยมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนด้วย ซึ่งก็ช่วยลดภาระการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าไปได้ค่อนข้างมาก แต่โดยรวมทั้งแรงม้าและแรงบิด ก็ทำให้รถคันนี้จัดเป็นรถที่มีกำลังเครื่องแรง จัดจ้าน ขับได้สนุก อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ ใน 8.5 วินาที
ส่วนในเรื่องทัศนวิสัยในการขับ จากตำแหน่งผู้ขับขี่ มุมมองเห็นชัดเจนดี ด้วยความสูงของตัวรถ และขนาดของตัวรถที่ดูเป็นรถคอมแพคพอดี ๆ ไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป การคุมพวงมาลัยก็ทำได้ค่อนข้างแม่นยำ มั่นใจ ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอสัน สตรัท และช่วงล่างหลังแบบมัลติลิงค์ ก็เก็บอาการโยน และสะเทือนของตัวรถได้ฟิลแบบนุ่มนวลได้ดีในระดับหนึ่ง โดยรวมสำหรับผมรถคันนี้ ก็ถือว่าสอบผ่าน ทำได้ดีในสนามทดสอบและในภาพรวมยังมีจุดเด่น และความน่าสนใจในการประสานข้อดีของรถไฟฟ้าและรถไฮบริดไว้ในคันเดียว
ปิดท้ายที่ในส่วน ของการทดสอบสมรรถนะ ในครั้งนี้ เป็นการทำความรู้จัก สเปคของรถ และทดลองขับ แบบที่ยังไม่ทราบราคา ค่าตัว รวมไปถึงสเปครุ่นย่อย ของรถรุ่นนี้ ซึ่งทาง โอโมดา แอนด์ เจคู ประเทศไทย คงจะมีการเปิดตัวและราคาอย่างเป็นทางการของ JAECOO 7 SHS ในตลาดรถยนต์ไทยเร็ว ๆ นี้ ครับ สามารถติดตามรายละเอียดแล้ว ลุ้นราคาไปพร้อม ๆ กัน ได้ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2025 นี้
คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย
การเปิดตัวของรถสายลุยลูกครึ่งไฟฟ้าในรูปแบบของรถ อเนกประสงค์ รุ่นนี้ ของทางโอโมด้าแอนด์เจคู ภายใต้ แบรนด์บริษัทแม่อย่าง เชอรี่ ออโตโมบิล ถือว่าน่าสนใจ จากการนำ know How ความรู้และ เทคโนโลยี จากการเป็นผู้ผลิตรถแบนหรู หลายแบรนด์ มาต่อยอดพัฒนา แบรนด์ของตัวเอง ซึ่งสำหรับการทำตลาดในบ้านเรา ต้องบอกว่า ทางโอโมด้า แอนด์ เจคู ทำตลาดได้น่าสนใจครับ กับการวาง segment รถที่วางขายและจำหน่ายในประเทศไทย ทั้งในตัวของ JAECOO 6 EV ในแบบออฟโรด และ Omada c5 EV
ส่วนในตัวของ JAECOO 7 SHS คันนี้ ก็ถือว่า มีความน่าสนใจ ในหลายจุด ทั้งจากในตัวเครื่องยนต์ 1.5 Gen 5 เกียร์ที่ออกแบบมาสำหรับการทำงานของทั้ง 2 ระบบ เพื่อรองรับ ความสมูท ในการตัดต่อกำลัง และแบตเตอรี่ที่เน้นความปลอดภัย แม้จะมีขนาดเล็กกว่ารถไฟฟ้า ในพิกัดเดียวกันที่ทำตลาด แต่ก็เน้นประสิทธิภาพ ในการทำงาน
ทุกวันนี้ รถยนต์ไฟฟ้าที่มีขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ จะพบว่ามักจะมีอัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น จนหากนำมาเทียบกับรถน้ำมันแล้ว อาจจะประหยัดไม่ได้มากนัก แถมวิ่งได้ไม่ไกล ซึ่ง JAECOO 7 เข้ามาแก้ปัญหานี้ และ ยังมีไฮไลต์ที่ระยะการขับขี่ที่ยาวไกล กับอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ไม่ต้องกังวลเหมือนรถยนต์ไฟฟ้า
คู่เทียบ คู่แข่งในตลาด เท่าที่เห็น ก็นับได้หลายรุ่นที่พิกัดใกล้กันครับ ทั้ง BYD SEALION 6 , MG HS PHEV, Haval H6 PHEV ซึ่งสุดท้าย ท้ายสุด ราคาค่าตัวอย่างเป็นทางการคงจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ครับว่า JAECOO 7 SHS จะมีอนาคตสดใส มากแค่ไหน ในตลาดรถยนต์บ้านเรา